อย่าปล่อยให้ความผิดหวังท้อแท้...

มาคอยกัดกร่อนทำลายความสุขในชีวิต...

หาหนทางเรียกกำลังใจกลับมาอีกครั้ง...

ถ้ากำลังมีความรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายชีวิต

หรือหมดกำลังใจสาเหตุมาจากความล้มเหลว

ถูกตำหนิติเตียน...หรือเกิดปัญหาต่าง ๆ...

พยายามปลอบใจตนเอง ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา...

หากสามารถทำได้ก็สามารถเอาชนะใจตนเองได้ระดับหนึ่ง

แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย...

ก็ทำให้สามารถเรียกกำลังใจกลับมาได้อีกครั้ง...

จากนั้นมองย้อนไปที่ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น...

วิเคราะห์ว่าเกิดจากสาเหตุอันใด...

พร้อมกับระมัดระวังหรือแก้ไขมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก...

ผู้ที่เคยล้มเหลวแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง...

จะเป็นผู้ที่มีความรอบคอบขึ้น...แข็งแกร่งขึ้น...

และมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น...

เพราะครั้งหนึ่งเคยเอาชนะมรสุมร้ายในชีวิตมาแล้ว...

ความผิดพลาดในอดีตเป็นครูที่ดีที่จะสอนให้ระมัดระวัง...

และมองโลกได้อย่างเข้าใจยิ่งขึ้น...

ในการแพ้นั้น...บางคนแพ้เพราะฝีมือไม่ถึง...

บางคนแพ้เพราะประมาท...

แต่มีหลายคนที่แพ้...เพราะใจของตนเอง...


ขอบคุณที่มา:ธรรมะกับชีวิต/สีสรรสาระ

พฤติกรรมของคนดี (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


ลักษณะของบัณฑิต
๑ พูดแต่ในสิ่งที่ดี
๒ คิดแต่ในสิ่งที่ดี
๓ ทำแต่สิ่งที่ดีเสมอไป


พฤติกรรมของบัณฑิต

๑. ชอบทำแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์
๒. ชอบชักชวนคนอื่นในทางดี
๓. ชอบเสนอแนะสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ
๔. มีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างดีที่สุด
๕. มีศีลธรรมประจำใจ
๖. น้อมรับคำตักเตือน ไม่ดื้อ ไม่โกรธ เมื่อมีคนมาสอน
๗. อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่มีความลำพอง ถือตัวถือตน เย่อหยิ่ง
๘. ไม่ปกปิดความผิดของตัวเอง
๙. บอกกล่าวความดีของคนอื่นให้คนอื่น ๆ ได้รู้กัน
แหล่งที่มาจาก : พลังจิตดอทคอม 



คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความโลภ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการหาเงิน
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความแค้น
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความริษยา
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความหลังอันหดหู่
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความรัก
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับกามารมณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการทำธุรกิจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการบ้าอำนาจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับเกียรติยศ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอุดมการณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับสุรายาเสพติด
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร

คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอบายมุข
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
มีคนไม่กี่คน !
ที่ตระหนักรู้ว่า แท้ที่จริงนั้นเรามีเวลาอยู่ในโลกเพียงน้อยนิด, เราเกิดมาทำไม, และเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น ?
โดย........ว.วชิรเมธี
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑

ขอบคุณป้าแก้ว(ทำดีดอทเน็ต)


ยึดหลักธรรมะ ช่วยทำงานอย่างมี "ความสุข"

ใครว่าธรรมะเป็นเรื่องของพระอย่างเดียว ผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ เด็กไม่ว่าจะเป็นวัยไหน ธรรมะสามารถเกี่ยวข้องได้ทุกคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในวัยทำงานที่มักมีเรื่องให้ปวดหัวทั้งเรื่องงาน เรื่องเจ้านาย ส่งผลให้สุขภาพจิตเสื่อมโทรม การทำงานไม่มีประสิทธิภาพได้ สถาบันดี เอ็มจี อคาเดมี จึงจัดเสวนาเรื่อง "ธรรมะกับการบริหารงานสมัยใหม่" ที่อาคารอัมรินทร์พลาซ่า
งานนี้มีหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยทำงานมาร่วมฟังเสวนาคับคั่ง เพราะงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นวิทยากร
ดร.สุเมธบอกว่า หลายคนมองว่าธรรมะเป็นเรื่องเก่า ไม่เหมาะกับคนสมัยใหม่ ซึ่งในความจริงแล้วไม่ว่าจะถูก ผิด ดี เลว เป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้น ธรรมะคือธรรมชาติอย่าไปเบื่อหน่าย
"มนุษย์ถูกกำหนดเป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวย กำไรมากกว่าทำงานแบบพี่น้อง ครอบครัว ใครเหยียบใครได้เหยียบเพื่อไต่เต้าให้ได้ดี เห็นตัวเลขการลงทุนมากกว่ามิตรภาพ โลกถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยม บริโภคนิยม มีกิเลสตัญหา ดังนั้นมนุษย์ควรใส่ใจมนุษย์ด้วยกัน อย่าเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ และไม่ทำลายผู้อื่น"
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บอกอีกว่า การนำธรรมะเข้ามาช่วยในการบริหารงานจะช่วยในมนุษย์มีความสุขได้ อย่างการยึดหลักทศพิธราชธรรมเป็นคุณธรรมหลักของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน คนทำงานสามารถนำไปปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นการสละสิ่งเล็กๆเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า อย่าคิดแต่ผลกำไร ควรดูแลลูกน้องด้วย รวมทั้งการซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกง เอาชนะความเกียจคร้านให้ได้ และไม่เบียดเบียนผู้อื่น
"นอกจากนี้การรู้จักประมาณตน ก่อนทำอะไรคิดเสียก่อนลงมือทำ ดูความสามารถของตัวเอง เมื่อล้มจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ และอย่าดูแค่ธุรกิจ ใส่ใจลูกน้อง เพื่อนร่วมงานด้วยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน ที่สำคัญหากยึดทางสายกลางจะช่วยให้การปฏิบัติงานดีขึ้นอีกด้วย และอย่าลืมความพอเพียง ถ้าอยากซื้อของแพงก็สามารถทำได้ แต่อย่าให้เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น ต้องมีเหลือไว้กินไว้ใช้ จะทำให้รวยและยั่งยืนได้"
ดร.สุเมธยังบอกอีกว่า ธรรมะไม่ต้องสอนให้ซึ้งถึงหลักธรรมแค่รู้จัก "พอ" และ "ดี" ถ้าคิดได้จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จและยั่งยืน การบริหารงานนอกจากเก่งต้องเป็นคนดีด้วย และรู้จักให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทนกลับมา การทำงานจะมีความสุข หากทุกคนรู้จักนำธรรมะมาปรับใช้

ธรรมะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ หากรู้จักนำมาปรับใช้กับชีวิตให้ถูกกับตัวเอง!!


ธาตุแท้ของสิ่งต่าง ๆ

ลองสังเกตธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา..
แล้วเราจะพบว่า..
ในธรรมชาติเหล่านั้น..
ได้แฝงปรัชญาข้อคิดในการดำเนินชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

น้ำใส..กลายเป็นน้ำขุ่น..
เพราะมีวัตถุอื่นมากระทบ..ก่อกวน..ฉันใด

เปรียบเหมือน..จิตใจของคนเรา..ที่ขุ่นมัว..เศร้าหมอง..
ก็เพราะมีกิเลสมาก่อกวน..หมักหมม..ฉันนั้น

ธาตุแท้ของน้ำ คือ..ความใสสะอาด..
แต่ธาตุแท้ในจิตใจของคน คือ..ความสงบ..

ธาตุแท้ของแฟ๊บ,สบู่ คือ..ชำระความสกปรกภายนอกร่างกาย
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..เพิ่มความสะอาดภายในจิตใจ

ธาตุแท้ของไฟ คือ..เผาไหม้เชื้อเพลิง
ธาตุแท้ของไฟกิเลส คือ..เผาไหม้จิตใจ..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..ดับกิเลสความเร่าร้อนในจิตใจ..

ธาตุแท้ของลม คือ..พัดพายุนำความเสียหายมาให้..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พัดความชุ่มเย็นเข้ามาในชีวิต..

ธาตุแท้ของดิน คือ..ความคงทนไม่หวั่นไหว..
แต่ธาตุแท้ของจิตใจ คือ..ความไม่หวั่นไหวและมั่นคง..

ธาตุแท้ของความจน คือ.. มีไม่พอ
ธาตุแท้ของความรวย คือ..พอไม่มี
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พอมี พอเป็น พออยู่ พอได้ และพอเพียง

ธาตุแท้ของความทุกข์ คือ.. ทุกข์มันมาก..สุขจึงน้อย..
ธาตุแท้ของความสุข คือ..ทุกข์มันน้อย..สุขจึงมาก..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี ปล่อยวาง..ว่างเปล่า..เบาสบาย

ดังนั้น..
ธาตุแท้ในจิตใจ..ของเรา..ก็เหมือนกัน..จะใสสะอาด..
เบาสบาย..ไม่เป็นทุกข์ได้..
ก็เพราะมีธรรมะชำระล้างจิตใจ..



ที่มา ThummaOnline



"ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต"
"ปัญหา"เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ

การมองว่า "ปัญหา"เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน"แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร"กลับมาด้วย

ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน

ปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้

คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่
"ปัญหา สร้างปัญญา"
เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง

โลกก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด
"ปัญหาย่อมมีทางออก"
ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดี ในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม?" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"

ความทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

แหล่งข้อมูล : รินใจ

กระจกส่องใจ สอนอะไรคุณ..?
กระจก... ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด

จิตใจ... จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก

กระจก... รับรู้ แต่ไม่ยึดถือครอบครอง

ดังนั้น... จึงไม่มีภาพใดๆ หลงเหลืออยู่ในกระจก

สายฝน... ในกระจก หาได้เปียกกระจกไม่

เปลวไฟ... ในกระจก ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน

ทั้งนี้... เพราะกระจก ไม่ได้ให้อำนาจแก่ สายฝน และเปลวไฟ

ดังนั้น...จงทำจิตใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือหรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมองใจย่อมตามมา เมื่อนั้น..
ขอขอบคุณ :คำสอนดี ดี มีประโยชน์
จากหนังสือ ธรรมะกับมนุษย์

"รับประทานแป้งมากอาจเกิดอันตราย"
นอกจากผัก ผลไม้แล้ว อาหารจำพวกแป้งก็ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารเจเลยก็ว่าได้ ซึ่งแป้งที่เรารับประทานเข้าไปนั้น เป็นอาหารที่มีไขมันสูง ถ้ารับประทานมากเกินไป อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ซึ่งในเทศกาลกินเจนี้ เราก็มีเคล็ดลับในการรับประทานอาหารเจ ให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่าโทษมาฝากค่ะ

เทศการกินเจในปีนี้ เพื่อสุขภาพแล้ว ผู้ที่รับประทานเจควรหลีกเลี่ยงอาหารเจที่มีรสชาติมันจัด เค็มจัด หรือรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งมากจนเกินความต้องการของร่างกาย
"อาจเกิดสารปนเปื้อน"
ในส่วนของผัก ที่เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารนั้น ก็ควรล้างให้สะอาดก่อนที่จะนำมาปรุงอาหาร เพราะหากล้างไม่สะอาดแล้ว ผักนั้นก็จะเต็มไปด้วยสารพิษ สารเคมี จำพวกยาฆ่าแมลง และเชื้อโรคปนเปื้อนอีกมากมาย ซึ่งถ้าเกิดสารตกค้างในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร และเมื่อสารเหล่านี้สะสมในร่างกายมากขึ้น ๆ อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งในระยะยาวได้

ในส่วนของน้ำมันที่นำมาใช้ประกอบอาหารก็สำคัญนะคะ เพราะอาหารเจส่วนมากจะใช้วิธีการทอด และผัด ซึ่งหากเราทานอาหารประเภททอดหรือผัดเป็นประจำทุกวัน เกินวันละ 3 มื้อแล้วล่ะก้ อาจทำให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกาย และปัญหาที่ตามมาก็คือ ปัญหาของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และโรคอ้วนนั่นเอง อ้อ!! อีกอย่างในเรื่องของรสชาติก็เช่นกัน เพราะอาหารเจส่วนใหญ่จะมีรสเค็ม ดังนั้น อาหารที่ชิมแล้วรู้สึกว่าเค็มเกินไป ก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวโรคความดันโลหิตสูงจะถามหาได้นะคะ

"ควรรับประทานที่ปรุงถูกวิธี"
และเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว การรับประทานอาหารเจ ควรเลือกรับประทาอาหารที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ยำ อบ หรือย่างแทนการทานอาหารประเภททอด และผัดค่ะ

ที่สำคัญ ควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย แต่ไม่เกินความต้องการของร่างกาย และควรที่จะทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วย

กินเจปีนี้หวังว่าคงอิ่มบุญ และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงด้วยนะคะ...

แหล่งข้อมูล : วารสารสุขภาพ



1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุนคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น



26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ไมม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุนไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุนเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุนก้อไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุนมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุนทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น





51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุนก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุนซื้อนาฬิกาได้ แต่คุนไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุนอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุนคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุนลำบากคุนคิดถึงใคร คุนอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุนเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุนอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุนจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุนลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุนลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุนได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุนยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุนก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุนก้อเป็นคนเพียงแต่คุนยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุนแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุนแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ




75.คุนมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอย
76.ถ้าคุนกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุนทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุนมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุนรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุนยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุนได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี
92.สิ่งที่คุนปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัน กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา


  ที่มา คลิ๊ก


... มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้าน จากหน้าต่างชั้นบนบ้านและวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง“ เพื่อนบ้านเรานี่ ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร "

สามีก็ตอบว่า “ อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน ”

แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้าจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า

“ เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว…”

ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ

“ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร...”

สามีหัวเราะและกล่าวว่า “ นี่...ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด เพราะก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความสกปรก... "

” มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบๆ ตัวเรา เราต้องเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว... สิ่งที่เราเห็น มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา และเราจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลวจิตใจก็ไม่สงบ เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์ แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจก็จะเบิกบาน และมีความสุข...


ขอบคุณที่มา: ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากหนังสือชีวิตงาม



เมื่อมีคนมาทำให้คุณเจ็บปวด ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือด้านจิตใจ ความรู้สึกต่อมาก็คือ "โกรธแค้น" และคิดว่าอยากทำให้คน ๆ นั้นเจ็บปวดเหมือนที่ทำกับคุณ ความคิดต่าง ๆ แบบนี้แหละที่คอยบั่นทอนความสุขของชีวิตคุณ ดังนั้น ก่อนที่จะปล่อยให้ความคิดทำลายชีวิตของคุณไปมากกว่านี้ คุณควรจะ "ให้อภัย" เขาซะ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็มี 5 เหตุผลดี ๆ มาอธิบายว่าทำไมคุณควรให้อภัยเขา...

1. ไม่คิดก็ไม่เจ็บ

           คงทำใจได้ยากหากมีใครสักคนมาทำให้คุณเจ็บ แต่เชื่อเถอะว่าทางเดียวที่จะรักษาความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ก็คือการให้อภัย เพราะความโกรธหรือความแค้นที่เกิดขึ้น จะทำให้คุณเอาแต่คิดวนเวียนถึงคนที่ทำให้คุณเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งความคิดแบบนี้มันก็เหมือนกับการตอกย้ำความช้ำให้เจ็บมากยิ่งขึ้น โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับคุณเลย และไม่ได้ทำให้เขาสำนึกผิดเลยสักนิด รู้แบบนี้แล้วจะหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บอีกทำไม ปล่อยทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มต้นใหม่ดีกว่านะ


2. อย่าปล่อยให้เขามีอิทธิพลกับชีวิตคุณ

          ความโกรธหรือความแค้นไม่เพียงจะทำร้ายคุณเท่านั้น ยังเป็นการปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามามีอิทธิพลกับคุณด้วย เพราะเขาจะเป็นเหมือนเงาตามตัวคุณไปไม่มีวันสิ้นสุด หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จิตใจของคุณก็ยิ่งอ่อนไหว และเปราะบางมากขึ้น สุดท้ายแล้วบาดแผลนั้นก็จะคงอยู่ไปตลอดชีวิต ซึ่งหากคุณคิดจะทำใจจริง ๆ ก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเจ็บอยู่แบบนี้ ฉะนั้น ก็ให้อภัยเขาซะทุกอย่างก็จะจบ

3. กำจัดความคิดแย่ ๆ ออกไปซะ

          อย่างที่รู้ ๆ กันว่าความคิดนั้นมีผลต่อจิตใจและร่างกายของคุณ ยิ่งคุณคิดในแง่ลบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณมากเท่านั้น เพราะความคิดในเชิงลบนอกจากจะทำให้คุณรู้สึกเครียด หรือเกิดความกังวลใจแล้ว ยังทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ หดหู่อีกด้วย บางคนอาจถึงขึ้นเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี หากคุณพอใจจะเป็นแบบนั้นก็ไม่มีใครว่า แต่มันคุ้มแล้วหรือที่จะปล่อยให้คน ๆ เดียวทำร้ายชีวิตของคุณทั้งชีวิต

4. คนเราผิดพลาดกันได้

          คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ฉะนั้น ทุกคนจึงมีข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง หากเขาทำให้คุณเจ็บปวด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาทำผิดสักหน่อย เพียงแค่เขาทำไปตามความคิดเขา ซึ่งความคิดนั้นไปขัดแย้งกับความคิดของคุณเท่านั้นเอง ดังนั้น จงเก็บความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนให้กับคุณ เก็บสิ่งดี ๆ เอาไว้ ส่วนเรื่องร้าย ๆ ก็จำไว้เป็นบทเรียนจะได้ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บ และตัวเองเจ็บเป็นครั้งที่สอง

5. การให้อภัยคือความสุข

          บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้อภัยทั้ง ๆ ที่เขาทำให้เราเจ็บ เขาสมควรได้รับการลงโทษหรือเจ็บปวดบ้างสิ ถึงจะสาสมกับสิ่งที่เขาทำ จริง ๆ แล้วคุณไม่ต้องไปก้าวก่ายชีวิตของเขาหรอก ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำแล้ว ก็ไม่สามารถจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่คุณทำได้ตอนนี้ก็คือ การให้อภัยเขา แล้วกลับมาดูแลตัวเองเพื่อก้าวต่อไป หากคุณให้อภัยได้แล้ว คุณก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง
        
ไม่มีใครอยากจะเจอกับความเจ็บปวด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ตามมา ก็คือ ความโกรธแค้น สิ่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของคุณไม่เป็นสุข วิธีง่าย ๆ ที่จะใช้จัดการกับมันก็คือ การให้อภัย คำเดียวสั้น ๆ แต่สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง ถึงแม้คุณไม่ชนะฝ่ายตรงข้ามแต่คุณก็ชนะใจตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง

ที่มาคลิ๊ก



มีคหบดีผู้หนึ่ง ประสบปัญหาในอาชีพการงานอย่างหนัก เนื่องจากกิจการค้าขายของเขา ยิ่งทำไปก็มีแต่ซบเซาลงทุกวันๆ เขาขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ดังนั้นจึงเดินทางขึ้นเขาไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซน
เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังปัญหาของคหบดี ก็กล่าวกับเขาว่า "ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของท่าน ที่ลานหลังวัดมีคันโยกน้ำบาดาลอยู่อันหนึ่ง ท่านจงไปโยกน้ำมาให้ข้า 1 ถัง" คหบดีรับคำ และรีบออกไปโยกน้ำบาดาล

ผ่านไปครึ่งวัน คหบดีจึงเข้ามาพร้อมเหงื่อชุ่มโชกตัว พลางกล่าวว่า "เครื่องโยกน้ำไม่สามารถโยกสูบน้ำขึ้นมาได้"

อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "เช่นนั้นท่านจงลงเขาไปซื้อน้ำมาถังหนึ่ง" คหบดีจึงเดินทางลงเขาไปซื้อน้ำ

เมื่อคหบดีแบกน้ำขึ้นมาที่วัด กลับมีน้ำอยู่เพียงครึ่งถังมิใช่หนึ่งถัง โดยคหบดีอธิบายว่า ที่นำน้ำขึ้นมาเพียงครึ่งถัง ไม่ใช่เพราะเขาเกรงจะหมดเปลืองเงิน แต่เป็นเพราะเส้นทางขึ้นเขาลำบาก จึงคิดว่าไม่อาจจะนำน้ำขึ้นมาเต็มถังได้

เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังเหตุผล ก็ยังคงยืนยันให้เขากลับลงเขา ไปหาบน้ำเต็มถังกลับมาก่อน จึงจะเข้าใจว่าเหตุใดกิจการของเขาจึงมีแต่เจริญลง

คหบดีแม้รู้สึก แปลกใจ แต่สุดท้ายก็ยอมลงเขาไปอีกรอบ คราวนี้เขาพยายามแบกน้ำเต็มถังอีกหนึ่งถังขึ้นมาที่วัดบนเขาได้สำเร็จ จากนั้นอาจารย์เซนจึงนำคหบดีไปยังคันโยกน้ำบาดาลหลังวัดอีกครั้ง ทั้งยังให้เขาลองเทน้ำลงไปในบ่อบาดาล แล้วลองโยกคันโยกน้ำดู

เมื่อคหบดีเทน้ำครึ่งถังลงไปในบ่อ แล้วลองโยกคันโยกน้ำ ผลปรากฏว่าไม่มีน้ำไหลออกมาแม้สักหยด น้ำครึ่งถังกับแรงกายที่เขาทุ่มเทไปในการขึ้นลงเขากลับสูญเปล่า ถึงตอนนี้คหบดีเริ่มนึกเสียดายน้ำอีกหนึ่งถังที่ตนลงแรงไปหาบมาจากตีนเขา แต่หากเขาไม่เทน้ำอีกหนึ่งถังหนึ่งลงไปในบ่อ สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีเพียงน้ำถังเดียวนี้ ที่รอวันใช้จนหมด

เมื่อ คหบดีเข้าใจเหตุผล จึงได้ตัดสินใจเทน้ำเต็มถังลงไปในบ่อ จากนั้นลองโยกคันโยกน้ำดู ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จ เครื่องโยกสูบน้ำได้รับน้ำและแรงดันที่มากพอจึงกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อโยกคันโยกจึงมีน้ำไหลรินออกมามากมายไม่ขาดสาย ครานี้ คหบดีจึงเข้าใจแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นการโยกน้ำ หรือการทำกิจการค้าขาย จำต้องลงทุนลงแรงให้มากพอ จึงจะได้ผลตอบรับที่ดีกว่ากลับมา

ปัญญาเซน สรรพสิ่งล้วนมีเหตุเกิดขึ้น จึงค่อยมีผลตามมา "เมื่อให้ จึงได้รับ" เช่นเดียวกับการโยกน้ำบาดาลจากบ่อ หากไม่ยอมเสียสละน้ำในถังของตนเองออกไปให้มากพอ ย่อมไม่ได้รับน้ำกลับมาแม้สักหยดหนึ่ง ที่ลงแรงไปกลับกลายเป็นสูญเปล่าทั้งสิ้น แต่หากลงทุนทุ่มเทอย่างเต็มที่ สิ่งที่ได้รับกลับมาย่อมคุ้มค่าหรืออาจมากมายกว่าสิ่งที่เสียไปหลายเท่า



การกระทำ 10 อันดับที่สร้างบุญทำแล้วจะรุ่งเรืองทุกด้าน

10. บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ

คือ ทำปัญญาให้ตรงสัจจะอันล้ำลึกหรือการทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิตปรับวิถีทาง ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย

9. บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา

ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อใครทำความดี เราควรยินดีในความดีของเขา ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น ไม่อิจฉาริษยา บุญนี้จะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์ที่ดี

8. บุญที่เกิดจากการอุทิศบุญ

เมื่อเราทำความดีใดๆ เราก็ควรหมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น บางความดี ความชอบในผลงานให้แก่คนอื่น บุญจะส่งผลให้เราจิตใจสะอาด อิสระและยิ่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเรายิ่งอุทิศบุญมากแล้ว บุญนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเป็น 2 เท่าของบุญทั้งหมด เราไม่ต้องกลัวว่าบุญของเราจะหมดไป)

7. บุญที่เกิดจากการแสดงธรรม

เมื่อเรารู้ว่าใครที่ด้อยกว่าเราแล้ว เราก็ควรแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนเขาด้วยความเมตตา ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแสดงธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่งคงในความดีงาม หรือถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องธรรมมากนัก เราก็อาจจะซื้อหรือแจกซีดีธรรมะก็ได้

6. บุญที่เกิดจากการฟังธรรม

บุญนี้จะรวมไปถึง การที่เราอ่านหนังสือ ฟังเทป หรือฟังเทศน์ ที่จะช่วยเราให้เห็นแง่มุมของสัจจะครบถ้วน บุญในข้อนี้จะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึก

5. บุญที่เกิดจากการขวนขวายในกิจผู้อื่น

ใครก็ตามที่ควรได้รับความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ คือ ถ้าทุกคนดีขึ้นจริงๆ บุญนี้ก็จะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยเรายามเดือดร้อน

4. บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม

ถ้าใครเคยประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ รู้จักถ่อมตน เราก็ได้บุญไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรแล้วเกิดผลดี สิ่งนั้นก็เป็นบุญหมด ผู้ที่ควรอ่อนน้อม คือ ผู้ประเสริฐ ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจ เราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง

3. บุญที่เกิดจากการภาวนา

ถ้าเราหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นคนที่มีพลังอำนาจในตนเองและมีสติปัญญา

2. บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีล

บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพ


1. บุญที่เกิดจากการให้ทาน
ซึ่งบุญที่เกิดจากการให้ทาน จะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก เชื่อว่าข้อนี้เพื่อนๆคงทำกันเป็นประจำนะคะ
ที่มาคลิ๊ก



วิธีแก้กิเลสทุกประเภท
รวมทั้งโทสะ ให้ลดน้อย
ถึงให้หายขาดไปได้นั้น
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้เหตุผล
คือใช้ปัญญา
พิจารณาลงไปเป็นเรื่องๆ ว่า
อะไรเป็นอะไร
ทำไมจึงเกิดขึ้น
ควรปล่อยให้เกิดอยู่ต่อไป
หรือควรแก้ไขอย่างไร
ควรปล่อยวางอย่างไร
พิจารณาด้วยปัญญา
ดังกล่าวนี้ในเรื่องใดก็ตาม
หากทำให้เรื่องนั้นคลี่คลายลงได้
เช่น กำลังเกิดโทสะในเรื่องใดอยู่
ทำให้หายได้ด้วยเห็นตามปัญญาพิจารณา
โทสะในเรื่องนั้นจะไม่กลับมาเกิดอีก
เรียกว่าใช้ปัญญาถอนรากถอนโคนให้เด็ดขาดไป

: พุทธวิธีไม่ให้เกิดโทสะ
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



คนทั่วไปล้วนคิดว่าความมีความเป็นมาก ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี

ทว่าหารู้ไม่ว่าความมีความเป็นมากเกินไปกลับทำให้เกิดความผิดปกตินานา ความพอดีเป็นความงดงามในการสืบความมักมากจึงต้องหมั่นระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา อย่าให้ความมักมากจนเกินพอดีมาทำลาย สุขภาพกายและใจ

1.) ความดำริใคร่ครวญมาก ย่อมเป็นอันตรายต่อธรรมญาณ


2.) การคิดคำนึงมาก ทำให้ความมุ่งมั่นปณิธานไม่มั่นคง

3.) การมีกามตัณหา ลมปราณจักถูกทำลาย

4.) การจุกจิกเจ้าปัญหา นำมาซึ่งความสับสน

5.) มากวาจา ลมปราณย่อมเสื่อมสลาย อ่อนเพลียเหน็ดเหนื่อยง่าย

6.) การหัวเราะพร่ำเพรื่อ ย่อมทำลายอวัยวะภายในให้เสื่อมทรุดโทรมลง

7.) มากด้วยความกลัดกลุ้ม เลือดลมย่อมแตกซาน

8.) การเสวยสุขเกินพอดี ย่อมนำมาซึ่งพลังอันเหลือใช้และเป็นพิษต่อกายใจ

9.) ความปลื้มปิติเกินขอบเขต นำมาซึ่งจิตใจอันสลับซับซ้อนยุ่งเหยิง และวุ่นวาย

10.) ความโกรธเคืองเกินพอดี ทำให้ชีพพจรเต้นไม่ปกติ

11.) การลุ่มหลงยึดติดในความดี นำมาซึ่งความหลงใหลมัวเมาไม่เข้าใจถ่องแท้ในหลักสัจธรรม

12.) หากกาย วาจา และใจเต็มไปด้วยความชั่ว จักทำให้ร่างกายผอมแห้ง ไร้เรี่ยวแรง หาความสุขมิได้


ที่มาคลิ๊ก



การแสวงหาตัวบุคคลคือตัวคน

เพื่อนำมาเป็นครูบาอาจารย์ด้วยความลุ่มหลงมัวเมา และสอนผิด ๆ ไม่ใช่แนวทางของสติปัญญาเพื่อการดับทุกข์ นับว่าคนผู้นั้นไร้ปัญญาน่าสมเพชเวทนาที่สุดแต่ถ้าผู้ใดแสวงหาความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ข้อปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ด้วยสติปัญญาของตัวเองที่เป็นอาจารย์ของตนเองอย่างแท้จริง ก็จะไม่หลงทาง

ถ้าคุณคิดว่าคุณดี นั่นคือความเลวของคุณ

ถ้าคุณคิดว่าคุณเลวนั่นคือ ความโง่ของคุณ ถ้าคุณคิดว่าคุณฉลาด นั่นคือความโง่ของคุณ ถ้าคุณคิดว่าคุณโง่ นั่นก็คือความโง่ของคุณอีก  ถ้าคุณคิดว่าคุณบริสุทธิ์ นั่นคือ อัตตาอันสกปรกของคุณ ถ้าคุณคิดว่า สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว นั่นคือความหลง หรือความบ้ามุทะลุ อวดดีของคุณ ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นปุถุชน นั่นคือความท้อแท้ และไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมของคุณ ถ้าคุณคิดว่าคุณปฏิบัติธรรมไม่ได้ หรือไม่มีวันจะรู้แจ้งธรรมได้ นั่นคือการแก้ตัวของคุณในอันที่จะไม่ต้องปฏิบัติธรรม เพราะความขี้เกียจและมักง่ายดูถูกตัวเอง ปิดประตู ปิดทางเดินของตัวเอง

ทางที่ดี คุณจงมีศีล ฝึกจิตให้สงบ อย่าเห็นแก่ตัว

อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตนเอง จงเป็นคนเสียสละ อย่ามองคนอื่นเพื่อจับผิดเขา และอย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น จงสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อส่วนรวม จงอย่าเชื่อในสิ่งอื่นหรืออำนาจพิเศษนอกตัวที่จะนำมาซึ่งความเชื่อที่งมงายไร้สาระ จงเดินอยู่ทางที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ตถาคตสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์เท่านั้น  นั่นคือทางที่จะทำให้คุณรู้จักตัวเอง คุณจะมีจิตใจที่สงบเย็นไม่เป็นโรคเครียด และไม่เป็นทุกข์ตั้งแต่ตอนที่ร่างกายยังไม่ตาย


ที่มา สังคมธรรมะออนไลน์

 



เราไม่อาจหลีกหนีความทุกข์ได้

แต่เรามีวิธีจะดับทุกข์ด้วยตัวเอง เพียงแต่มีสติอยู่เสมอเท่านั้น ถ้าเราไม่เผลอก็จะมีสติอยู่กับตัวเอง จะสามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเข้าใจปัญหาก็จะสามารถหาวิธีแก้ไขทำใจเผชิญกับมันได้ การมีสติจะทำให้เรากายใจสงบ รู้จักควบคุมความหวั่นไหวในอารมณ์ทั้งปวงการฝึกสติในชีวิตประจำทำได้ทุกเรื่องทุกเวลา เช่น เวลาเราออกจากบ้านเราต้องมีสติระลึกรู้ว่า เรา ปิดน้ำ ปิดไฟ ปิดแก๊ส  ปิดประตู หรือยัง มิฉะนั้นเมื่อเราไปถึงที่ทำงานแล้วจะกังวลไม่แน่ใจว่าปิดหรือยัง ทำให้ไม่สบายใจต้องกลับไปดูใหม่ เมื่อมีสติทุกสิ่งก็จะกระจ่างชัดเจน ทำให้มีสมาธิไปในตัวด้วย ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ ท่านก็จะสามารถมองเห็นวิธีการสร้างสรรค์จัดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ลุล่วงไปด้วยดี


การฝึกสติ ควรเริ่มจากการ ยืน เดิน นั่ง นอน
โดยระลึกรู้ตัวทั่วถึงอยู่ตลอดเวลา จะสามารถควบคุมกายได้ ใจก็จะไม่วอกแวกคิดไปเรื่องอื่นถ้าฝึกบ่อย ๆ เป็นปกติก็จะเป็นความเคยชิน จะไม่เผลอ ไม่ประมาท จะรอบคอบ แยบคาย เรื่องยุ่งเหยิงก็จะหมดไป


ความทุกข์คือปัญหาชีวิต
หากจะหนีปัญหาด้วยการตายจากไป ปัญหาก็ยังไม่หมด จึงไม่มีประโยชน์อะไร นับว่าผิดพลาดที่สุด เราควรใช้สติตรึกตรองพิจารณาดูเถิดว่า ทุกปัญหามีทางแก้ไขได้เสมอ มันอยู่ที่ว่าเราจะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าแก้ได้เท่าใดเราก็จงพอใจยอมรับความจริงว่ามันได้แค่นี้แล้วจงหยุดพอจบ ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก


ที่คนเรามักตีโพยตีพายว่าหมดหนทางแล้ว ก็เพราะเราขาดสติปัญญาจึงยังคิดหาทางออกไม่ได้
การฆ่าตัวตายคือ การกระทำของคนอ่อนแอ เพราะเราขลาดกลัวเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่กล้าหาญพอที่จะปรึกษากับผู้ที่เคารพนับถือ ที่จริงเราควรจะเล่าเรื่องหารือกับผู้ที่ไว้ใจได้ ก็จะมีทางออกที่ดี

ที่มา สังคมธรรมะออนไลน์

 



ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต มีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา

วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอด สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโต ซื้อรถสปอร์ตคนงามเป็นของขวัญให้กับน้องชาย

ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหน เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้

ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้ เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวน ไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง
ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังแค่ไหน อีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้ คงไม่บ้าเก็บเอาไว้ดูตามลำพัง ที่โรงรถในบ้าน ขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเดินลูบๆคลำๆรอบรถคันงาม
ด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ สิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน

เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม
"ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" เขาบอก
เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ
"รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ"
"แน่นอน" เขาตอบ
"พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่" เด็กคนเดิมถาม
"คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง
เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้เป็นของขวัญ"
"โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...." เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย

ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ
เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่าอิจฉาตัวเขาเอง อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง

...มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ...
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด
"โอ้โห ดีจัง ผมอยาก....เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง" เด็กคนนั้นพูด
"ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง" ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง
ในสังคมทุกวันนี้ ที่ใครๆตั้งหน้าตั้งตาแต่จะรับ หรือบางคนไม่ยอมรอ ใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ
...เขาอยากเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ...

.... ชายหนุ่มมองเด็กด้วยความรู้สึกทึ่งและพูดออกมาทันทีว่า
"อยากนั่งรถเล่นกับฉันไหม"
"ครับ อยากมากเลย"
หลังจากขับรถเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กชายหันมาพูดด้วยดวงตาวาวแวว
"คุณจะกรุณาขับรถไปหน้าบ้านผมได้ไหมครับ" ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร
เขาคงต้องการให้เพื่อนบ้านเห็นว่าเขาได้นั่งรถคันโตกลับบ้าน แต่ชายหนุ่มคิดผิดอีกแล้ว
"คุณจอดตรงบันไดนั่นล่ะครับ" เขาวิ่งขึ้นบันได
จากนั้นสักครู่จึงกลับมาแต่เขาไม่ได้วิ่ง เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆที่ขาพิการมาด้วย
และวางน้องลงที่บันไดล่าง กอดไว้และชี้ไปที่รถ
"นั่นไง บัดดี้ รถคันที่พี่เล่าให้ฟัง พี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญ เขาไม่ต้องเสียตังค์เลย สักวันหนึ่งพี่จะซื้อให้น้องบ้าง น้องจะได้ดูของสวยๆงามๆด้วยตาของน้องเองเหมือนที่พี่เคยเล่าให้ฟัง"

ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นรถ
พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้และแล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง
ชายหนุ่มรู้แล้วว่า "ความสุขยิ่งกว่าการให้" หมายถึงอะไร

ที่มา fwmail




รสอะไร       ไม่ประเสริฐ  หรือสุทธิ-ศานติ์
ยิ่งไปกว่า        รสของการ        “ไม่ต้องได้
 ไม่ต้องเป็น         ไม่ต้องอยู่           ไม่ต้องตาย
ไม่ระหาย           ไม่สงสัย            ไม่กังวล
 “ไม่หวั่นไหว          ไม่ถือ               ร้ายหรือดี
ไม่ถวิล             หวังที่               มันสับสน
เช่นจวนได้       หรือจะได้           แต่กลายวน
เป็นไม่แน่             ว่าตน                จะได้มัน
รสความว่าง       อิ่มโอชะ             ตลอดกาล
เป็นสัมปราย-           โวหาร        พระอรหันต์
ดูให้ดี                 บางนาที            ท่านมีมัน
 แต่ว่าท่าน             ดูไม่ดี               ไม่มีเอยฯ

                                                                                                          -พุทธทาสภิกขุ-



บัณฑิตไม่พึงมีวาจาเปรียบ (เปรียบเปรย, ดูหมิ่น, ดูแคลน)
 
แม้กะลาที่คว่ำแล้ว ก็ยังมีน้ำติดก้นกะลา คนทุกคนมันก็ยังมีดีบางอย่างในตัวของมัน อย่างนักโทษ เขาไปทำผิด ติดตะราง แต่ร่างกายก็ยังแข็งแรง มีเรี่ยวมีแรงทำงานได้ตั้งมากมาย ให้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ขายเป็น ๑๐๐ล้าน ก็ยังได้

บัณฑิตไม่พึงทำตัวเป็นลิ่ม (ดุด่า, ทิ่มแทง, ว่าใครแรงๆจนขาดไมตรีหรือโกรธกัน)

 
ลิ่มที่ผ่าไม้ จนไม้ขาดแล้ว เอาคืนได้รึ มันคืนเป็นได้ดังเดิมไม่ได้

บัณฑิตไม่พึงเอาก้านบัวไปยอนหู (ฟังเรื่องร้อนใจ, ใส่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง)

 
ก้านบัวมันมีหนามนะ ยอนหูด้วยขนไก่ยังสะดุ้ง นี่เอาหนามไปยอนหู จะไหวรึ?

บัณฑิตไม่พึงทำน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
  พูดจาไม่มีประโยชน์ บัณฑิตเขาไม่พูดกัน
ขอบคุณที่มา

สังคมธรรมะออนไลน์



เราทุกคนล้วนมีอดีตที่เคยผ่านมา บางเรื่องน่าจดจำ...แต่บางเรื่องก็ไม่ แน่นอนว่าสำหรับอดีตที่ไม่น่าจดจำ เราไม่สามารถลืมมันได้โดยง่ายซะทีเดียวหรอก เพราะอิทธิพลของเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายนั้น มันฝังแน่นในหัวใจมากเสียจน "ไม่อาจลืม"
- บางคนมีอดีตเรื่องความรัก
- บางคนมีอดีตเรื่องครอบครัว
- บางคนมีอดีตเรื่องการใช้ชีวิตที่เกิดผลเสียกับตัวเอง ฯลฯ

แน่นอนว่าวันเวลา สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่มันก็เท่านั้นแหละ มันไม่สำคัญมากไปกว่าหัวใจของเรา ที่สามารถทำใจและยอมรับกับสิ่งที่ผ่านมาได้จริง ๆ หรอก

คนบางคน นึกถึงแต่เรื่องราวในอดีต ฝังใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จนไม่เป็นอันใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ก้าวหน้าไปไหนได้ แล้วเวลาก็เดินไปอย่างไม่รีรอเสียด้วย มารู้สึกตัวอีกที เวลาของเราอาจเหลือไม่มากพอ ที่จะทำเรื่องดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองอีกต่อไปแล้ว

คนเราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ลืมอดีตและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่น่าจดจำออกไป และทำสิ่งที่อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะการทำชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้น มันจะก่อให้เกิดความทรงจำดี ๆ ของเราในอนาคต ที่เราจะรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นึกถึงมัน
- อดีต...ก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
- ปัจจุบัน...คือสิ่งที่ยังอยู่กับเรา

ลองนึกดูดี ๆ เถอะนะ...ว่าเราอยากจะอยู่กับสิ่งไหนมากกว่ากัน


ที่มาคลิ๊ก


เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่  เป็นครู  เป็นพ่อแม่

มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ

สอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ  ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น


มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร
:
:

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

พยายามรักษาใจเย็น  ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ

ไว้
:
:

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย
:
:

ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ  เควสโก

วัดสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัด

กาญจนบุรี

จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก