‘บาดแผลทางกายรักษาไม่นานก็หาย...แต่บาดแผลทางใจรักษานานแค่ไหนก็ยากยิ่ง’

เมื่อครั้งที่นางฟ้าอยู่บนสวรรค์....
ท่านเคยรู้จักกับนางฟ้าองค์หนึ่ง ผู้มีรูปโฉมอัปลักษณ์แตกต่างไปจากองค์อื่น ๆ เมื่อครั้งแรกที่นางฟ้าองค์นี้อุบัติขึ้นบนสวรรค์ เทพเทวดานางฟ้าทุกท่านต่างพากันรังเกียจ และพากันหวาดกลัวนางฟ้าองค์นี้ยิ่งนัก
นางฟ้าอัปลักษณ์องค์นี้มีเรือนกายสีดำ ผิวพรรณทราม หน้าตาคล้ายกับยักษ์ หากแต่รัศมีเรือนกายของนางฟ้าองค์ดังกล่าว สว่างไสวเสียจนทุกองค์ต่างพากันประหลาดใจยิ่ง...
จนกระทั่งวันหนึ่ง...

นางฟ้าอีกองค์รวบรวมความกล้า เข้าไปถามนางว่า

‘ท่านนางฟ้า เหตุใดกันเล่าท่านถึงได้มีโฉมที่แตกต่างจากนางฟ้าองค์อื่น ๆ
เพราะเหตุใดกัน...ท่านถึงได้มีรัศมีกายสว่างไสวเยี่ยงนี้’

นางฟ้าอัปลักษณ์จึงตอบกลับไปว่า

‘เนื่องจากตอนที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่....มีรูปโฉมงดงาม เป็นหญิงสาวที่สวยงามยิ่งนัก แต่ทว่า...ความงามของข้าพเจ้า ได้นำมาซึ่งความทุกข์ระทม’
นางฟ้าอัปลักษณ์ ได้เล่าถึงความเป็นมาของตนว่า
ครั้งหนึ่ง...นางมีชายคนรัก หากแต่ชายคนรักของนางเป็นชายที่มีฐานะยากจน ทำให้บิดาของนางไม่ยอมรับเป็นเขย

นางเสียอกเสียใจอยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่ง...ชายใจทรามที่หลงใหลในรูปโฉมของนาง

ได้กระทำการอนาจารผิดจารีตประเพณี ทำให้นางถูกดูถูกเหยียดหยามจากผู้คนทั้งหลายที่ล่วงรู้เรื่องดังกล่าว ผู้เป็นบิดาทนรับความอับอายไม่ไหว จึงตัดสินใจยกนางให้เป็นภรรยาแก่ชายใจทรามผู้นั้นไป...

แต่ด้วยความที่เป็นหญิงที่มีรูปโฉมงาม ต้องตาต้องใจบุรุษอีกมากมายหลายคน ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงประหัตประหารฆ่ากันตาย จนท้ายที่สุด...นางต้องกลายเป็นหญิงม่าย ถูกผู้คนประณามเหยียดหยาม
ด้วยความทุกข์ระทมนางจึงตัดสินใจออกบวช ละทางโลกหันหน้าเข้าหาทางธรรม แต่เนื่องจากความที่เป็นคนรูปโฉมงดงาม ถึงแม้นออกบวชแล้ว ก็ยังเกิดอุปสรรคต่อการบวช

เพราะอะไรน่ะหรือ...

ก็เพราะรูปโฉมที่งดงาม ก่อให้เกิดกิเลสทางใจแก่ผู้ที่มองเห็นนั่นเอง
หญิงสาวโฉมงามผู้อาภัพทนทุกข์ระทมอยู่นาน กระทั่งถึงยามที่นางจวนจะสิ้นลม จึงตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่า

‘เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์ จะได้ไม่มีผู้มารักมาหลงเหมือนเช่นในชาตินี้’

...ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่นางทำเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ประกอบกับแรงอธิษฐานก่อนสิ้นลมหายใจ...ทำให้นางเกิดเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์วิมาน รัศมีกายเรืองรองสว่างไสวด้วยอานิสงส์คุณความดี
แต่ด้วย ‘แรงอธิษฐาน’ จึงทำให้นางมีใบหน้าอัปลักษณ์
นางฟ้าองค์นี้ได้เลือกแล้ว ว่าความอัปลักษณ์ช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ระทมเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา เพราะอย่างน้อยความอัปลักษณ์...ก็ช่วยให้ทุกข์น้อยกว่าความงาม

เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง...เพราะความระทมทุกข์ภายในใจ ทำให้บัดนี้ นางยึดติดอยู่ในความทุกข์จนไม่อาจหลุดพ้นได้

ผู้ที่เล่าเรื่องนี้ คือนางฟ้าที่เคยกล่าวถึงในตอนต้น
ที่บังเกิดความรู้สึกเวทนาสงสารแทนนางฟ้าอัปลักษณ์ ผู้เก็บตัวอยู่ในวิมานไม่ยอมออกมานอกวิมานของตน จึงขออนุญาตนำเรื่องราวของนางฟ้าผู้นี้ มาบอกต่อแก่มนุษย์ทั้งหลาย ที่ยังหลงยึดติดอยู่กับรูปโฉมทั้งของตนเองและผู้อื่น โดยลืมนึกถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ปล่อยให้ความหลงครอบงำสร้างความทุกข์เวทนาให้แก่ผู้อื่น

ด้วยหวังว่า...อานิสงส์ที่ได้จากการเผยแพร่เรื่องดังกล่าว
จะช่วยให้นางฟ้าอัปลักษณ์ คลายความทุกข์ได้บ้าง...

ที่มา..หนังสือเรื่องเล่าจากสวรรค์

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
บทเรียนแห่งความสำเร็จ..
ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..
เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..

๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..

วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น

>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..
 
วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น

>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว..

>>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก..

>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น..
ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...


ที่มา คลิ๊ก


การที่บุคคลจะได้สมบัติทุกภพทุกชาตินั้นเป็นเพราะเหตุว่า
เขาได้รักษาสมบัติเอาไว้ได้ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาทิตตสูตร ว่า

“เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ เจ้าของเรือนขนเอา
ภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็น
ประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่ขนออกไปไม่ได้
ย่อมถูกไฟไหม้ ฉันใด

โลก (คือหมู่สัตว์) อันชราและมรณะเผา
แล้วก็ฉันนั้น ควรนำออก (ซึ่งโภคทรัพย์สมบัติ)
ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
นั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็น
เหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบ
เอาไปได้ ไฟยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้

อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วย
สิ่งเครื่องอาศัย ด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญา
รู้ชัดดังนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้
ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน
เข้าถึงสถานที่อันเป็นสวรรค์”


จากพุทธพจน์ที่กล่าวในเบื้องต้น ทำให้เห็นอานิสงส์ของการทำ และไม่ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ซึ่งพอจะขยายความตามพุทธพจน์ได้ว่า “บุคคลที่ทำบุญเอง แต่ไม่ได้บอกบุญผู้อื่น จะไปเกิดเป็นผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีพวกพ้องบริวาร”

เพราะว่า “เมื่อบุคคลทำบุญด้วยตนเอง” ชื่อว่าเขาได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ แต่ “เขาไม่ได้บอกบุญผู้อื่น” ชื่อว่าเขาไม่ได้ติดตามรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น เสมือนปล่อยให้ทรัพย์นั้นถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น ฉะนั้นเวลาไปเกิดในภพชาติใด จึงมีโภคทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ไม่มีบริวาร เมื่อทำกิจการใดๆ ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากมาก ไม่มีคนช่วยเหลือเพราะขาดพวกพ้อง

“บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญเอง ได้แต่บอกบุญคนอื่น จะไปเกิดเป็นคนยากจน แต่มีพวกพ้องบริวาร”

เพราะว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติของตนเองไว้ ได้แต่ตามรักษาทรัพย์สมบัติให้คนอื่น ฉะนั้น ไปเกิดในภพชาติใด ตนจึงต้องลำบากและยากจนข้นแค้น แต่เวลาจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา

“บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญด้วยตนเอง และไม่บอกบุญ จะไปเกิดเป็นคนยากจน ทั้งไม่มีพวกพ้องบริวาร”

เพราะว่าไม่รักษาทั้งทรัพย์สมบัติของตนเอง และผู้อื่น บางทีถึงกับขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำอีก ฉะนั้น ไปเกิดในภพชาติใด ก็พบแต่ความลำบากยากจน ต่ำต้อย ไม่มีพวกพ้องเลย จะทำอะไรก็ลำบากมาก และไปเกิดกับกลุ่มชนที่มีความลำบากด้วยกัน มีแต่คนรังเกียจ เหมือนดังเรื่องต่อไปนี้

อานันทเศรษฐี

ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่ออานันทะ มีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็นคนตระหนี่ไม่ทำบุญ ทั้งห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญ เขาสอนบุตรวันละ ๓ เวลาว่า

“อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้มาก ควรทำทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ วัน ไม่ควรให้ทานแก่ใครๆ เพราะทรัพย์ที่มีมากย่อมสิ้นไปทีละน้อย พึงดูอย่างยาหยอดตา เมื่อหยอดทีละหยดยังหมดได้ พึงดูอย่างการพอกพูนขึ้นของจอมปลวก ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ยังเป็นจอมปลวกใหญ่ได้ คนครองเรือนก็ควรเป็นอย่างนี้”

เขาได้ฝังขุมทรัพย์ใหญ่ไว้ ๕ แห่ง แต่ด้วยความที่ตระหนี่มากจึงไม่ยอมบอกให้ใครทราบ แม้แต่บุตรของตนชื่อ มูลสิริ อานันทเศรษฐีมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมองเพราะความตระหนี่ เมื่อเขาตาย มูลสิริได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีต่อมา อานันทเศรษฐีเมื่อเขาละโลกไปแล้ว ไปเกิดในครรภ์ของหญิงยากจนคนจัณฑาล หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตาม มารดาจะอดอยากยากจนไปด้วย ที่ว่าจนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจนในหมู่ยาจกทีเดียว รวมทั้งทำให้กลุ่มที่หญิงยากจนคนนี้ไปอาศัยอยู่พลอยยากลำบากไปด้วย ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า ต้องมีคนกาลกิณีอยู่แน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ ฝ่าย และถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น จึงขับนางออกจากกลุ่ม

เมื่อนางคลอดบุตร ได้เห็นหน้าบุตรแล้วอยากจะร้องไห้สัก ๕๐ ปี เพราะบุตรของนางพิกลพิการสารพัดอย่าง มือ เท้า หู จมูก ปาก นัยน์ตา พิการไปหมด เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่ละทิ้งบุตร ทั้งนี้เพราะความมีเยื่อใย ความรักความผูกพันตามธรรมชาติของแม่ที่มีต่อลูกอย่างแรงกล้า นางเลี้ยงบุตรด้วยความฝืดเคือง วันใดที่พาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนวันใดทิ้งบุตรไว้ที่บ้าน วันนั้นจะได้อาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็พบแต่ความอัตคัดขัดสนตลอดเวลา แม้กระนั้นก็ยังสู้ทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกสามารถดูแลตัวเองได้ จึงบอกกับลูกว่า

“ลูกเอ๋ย เอากระเบื้องใบนี้ไป ต่างคนต่างไปเถอะ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะรักลูกแค่ไหน แต่ถ้าเอาลูกไปด้วยก็คงจะอดอยากมาก ดังนั้นลูกจงไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองเถิด”

ลูกจึงจำต้องจากไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็หาทรัพย์ไม่ได้ เด็กน้อยตะเกียกตะกายขอทานช่วยเหลือตัวเองไปจนถึงบ้านของมูลสิริเศรษฐี ก็ระลึกชาติได้ว่า บ้านนี้เคยเป็นบ้านของตนมาก่อน และเศรษฐีนี้ คือ ลูกชายของตนเอง จึงเดินไปในบ้านนั้น ฝ่ายลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นเด็กขอทานที่หน้าตาน่าเกลียด น่ากลัวเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไป

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ (พระผู้ติดตาม) เสด็จผ่านไปถึงที่นั้น พระองค์ทรงชี้ให้ดูเด็กขอทานคนนั้น แล้วตรัสว่า

“อานนท์ เด็กขอทานที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดนั้น คือ อานันทเศรษฐี”

ทั้งยังตรัสกับมูลสิริเศรษฐีให้ทราบอีกด้วยว่า นี่คือ อานันทเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของเขาในอดีตชาติ

มูลสิริเศรษฐีจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เขาจะทราบได้อย่างไร พระองค์ตรัสตอบว่า เด็กคนนี้จำที่ฝังสมบัติได้ มูลสิริเศรษฐีจึงให้เด็กขอทานนั้นไปชี้ที่ฝังสมบัติ เมื่อให้คนขุดดู ก็พบว่ามีสมบัติจริงตามที่ชี้ จะเห็นได้ว่า การไม่รักษาสมบัติของตนและไม่ตามรักษาสมบัติของผู้อื่น จำทำให้เข้าถึงความวิบัติของรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติต่างๆ ทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ยากจนค่นแค้นเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป

ส่วน “บุคคลที่ทำบุญเองและบอกบุญผู้อื่นด้วย ย่อมร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติ”
เพราะว่านอกจากตนเองได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ดีแล้ว ยังติดตามไปรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น ฉะนั้น ไปเกิดในภพชาติใด ก็จะมั่งคั่งร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมาก จะทำสิ่งใดก็สำเร็จได้โดยง่าย

เพราะผู้ที่ได้รับการชักชวนทั้งหลาย ได้เสวยผลบุญเกิดมา มีความสุขความเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ เขาจะระลึกถึงบุคคลที่ตามไปรักษาทรัพย์ของเขาไว้ให้พ้นจากวิบัติ ฉะนั้น จะเกิดกระแสบุญชนิดหนึ่งแล่นมาถึงผู้ที่ตามไปรักษาทรัพย์สมบัตินั้นไว้ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป จะมีแต่คนที่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มาเป็นบริวาร เป็นมิตรสหาย คนภัยคนพาลเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะเดินสวนทางกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นเลย จะได้แต่สิ่งที่ดีๆ ทั้งโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติทุกอย่าง

- เทคนิคมองโลกในแง่ดี -

คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทยอารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"

นอกจากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้

ยามพบอุปสรรคในการทำงาน
  ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี

คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา

คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย

ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา
  โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ "โชคดี" ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้

ยกตัวอย่าง
เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า
"อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"

โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า

"เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า
"เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"

ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขายังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ

ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา

มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป

สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้

เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง


เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น

. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน

. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า
"อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)

. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆวิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว

ยังมีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอีกมากมายหลายวิธี ซึ่งเครือข่ายชาวพุทธกำลังค้นคว้าหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อประยุกต์เป็นวิธีคิดนำมาเสนอท่านโอกาสต่อไป อย่าลืมติดตามตอนที่ ๒ เร็วๆ นี้นะครับ สวัสดี

.......................................................

ที่มา คลิ๊ก



การจะจัดการกับความเครียดท่านต้องหาว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใดและร่างกายเราตอบสนองต่อความเครียดนั้นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการเกี่ยวกับความเครียดซึ่งมีวิธีดังนี้
  1. ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด เป็นข้อที่สำคัญที่สุดหากไม่ทราบสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของท่านมีอะไรบ้างที่ท่านเบื่อ เช่นการพูดคุยกับภรรยา การอาบน้ำลูก รถติด งานเร่ง งานน่าเบื่อ งานมาก บทบาทไม่ชัดเจนฯลฯ ท่านลองสำรวจอาการของท่านเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้ท่าเครียดที่สุด ภาวะใดที่ท่านกลัวมาก ท่านอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางท่านไม่ชอบการเมืองก็ไม่ต้องดูข่าวหรือพูดคุยเกี่ยวกับการเมือง
  2. การป้องกัน
  3. แก้ไข
  4. ยอมรับความจริง
  5. หลีกเลี่ยง
  6. การปรับเปลี่ยน
  7. เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย
  8. มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
  9. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  10. รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
  11. ผักผ่อนอย่างเพียงพอ
การป้องกัน
หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้
  1. การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
  • เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
  • ขณะทำงานก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
  • ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่มแต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
  • จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะทำงานก็อย่ากังวลงานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
  • กระจายงานให้แก่คนที่เหมาะสมโดยแบ่งงานเป็นส่วนแล้วกระจายงานออกไป
  1. การสื่อสาร การสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้ง
  • ใช้เหตุผลในการสื่อสาร การใช้เหตุผลจะทำให้เพื่อนร่วมงานได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข คนส่วนให้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น การใช้เหตุจะทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับและให้ความร่วมมือ ห้ามใช้ความก้าวร้าว
  • พูดความจริง การพูดความจริงจะมีความเครียดน้อยกว่าการโกหก
  • แก้ไขความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งให้จับเข่าแก้ปัญหา และเมื่อได้ข้อสรุปจงลืมว่าปัญหาเกิดจากใคร และอย่าเครียดแค้น
  • ให้เป็นนักฟังที่ดี ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ขณะที่ตัวเองกำลังพูด การเป็นผู้ฟังที่ดีจะได้แนวความคิดใหม่ การเป็นผู้ฟังที่ดีมิใช่คุณจะต้องเชื่อทุกอย่างเป็นเพียงคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งช่วยในการตัดสินใจ
  1. การเปลี่ยนมุมมองคนบางคนมองวิกฤติเป็นโอกาส น้ำครึ่งแก้วบางคนมองเหลืออีกครึ่งหนึ่ง
  2. การผักผ่อน การนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงวันละ 7-8 ชั่วโมงจะทำให้ลดความวิตกกังวลได้
  3. เมื่อเกิดปัญหาให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ให้หยุดงานที่ทำอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หรือหลีกหนีไปเดิน 15 นาที
  4. ให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิด ผลเสียหายอย่างแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงโอกาสที่จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
แก้ไข
แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย
  1. ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน
  2. อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข
  3. ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเลือกงานที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานประจำทำให้เสร็จแล้วจึงเลือกงานที่น่าเบื่อทำต่อ
  4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข
  5. บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย
  6. ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ
  7. เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์
ยอมรับความจริง
  • ยอมรับความจริงว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากท่านคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จท่านก็จะเกิดความเครียด
  • ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
  • สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
  • ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง
หลีกเลี่ยง
  • หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
  • หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
  • หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
  • เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
  • หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้
การปรับเปลี่ยน
เป็นการปรับเปลี่ยนขบวนความคิดและการปฏิบัติตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
  • ปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองโลกในแง่ดีเสมอไม่พยายามมองโลกในแง่ร้าย ทุกปัญหามีทางออก เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โลกมี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จักปฏิเสธในส่วนไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเอง ลดความรีบร้อน หัดทำงานให้เสร็จที่ละอย่าง หัดกระจายงานสู่ผู้อื่น หางานอดิเรกทำที่ทำให้หายเบื่อ
  • ปรับเปลี่ยนสภาพทำงาน ปรึกษากันเพื่อลดข้อขัดแย้งในการทำงาน กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคน กำหนดเจ้านายให้แน่นอน กำหนดกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการทำงาน มีระบบให้คำปรึกษาเรื่องความเครียด
  • ปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง หัดสร้างอารมณ์ขันในภาวะที่เครียด ยอมรับคำตำนิ รู้จักผ่อนคลายเครียด
ที่มา Click



บำบัดความเครียด.......... สมาธิบำบัด

เครียด เครียด เครียด .........
เครียด เครียด เครียด ชีวิตประจำวันของคนทำงานทำให้ดัชนีความเครียดของคนไทยพุ่งสูงปรี๊ด ความเครียดทำให้สุขภาพเราแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น ที่สำคัญสำหรับสาวๆ เครียดมากๆทำให้หน้าแก่ก่อนวัยได้นะ เมื่อเรารู้สึกเครียดร่างกายเราจะหลั่งฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ถ้าเครียดมากก็หลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนความเครียดก็จะไปยับยั้งการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ทำให้อวัยวะสำคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะฮอร์โมนความเครียดไปทำให้ภูมิต้านของร่างกายเราต่ำลง ต่ำลง เรียกว่าโรคเครียดนอกจากทำแก่ง่ายแล้วยังทำให้ถึงตายได้นะเนี่ย

- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ
การทำสมาธิถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิทำให้จิตใจสงบนิ่ง แต่มีสติ หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบทั้งหลาย เมื่อเราทำสมาธิจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะจะมี Hormoneชื่อ Endorphins หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้นหลังจากถูกยับยั้งด้วยฮอร์โมนความ เครียด การทำสมาธินี้ดีมาก มาก สำหรับคนที่กำลังบำบัดมะเร็งเพราะ เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นการกำจัดcell มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ

- ทำสมาธิแบบไหนดี?
การทำสมาธิที่สามารถบำบัดโรคที่เกิดจากความเครียด ความกังวล ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคโดยตรง แต่สามารถรักษาใจที่เป็นทุกข์อันเกิดจากโรคได้ วิธีฝึกสมาธิบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่ การนั่งภาวนา เดินจงกรม การแผ่เมตตา การอธิษฐานจิต การฝึกใช้พลังภายในร่างกาย การใช้พลังภายนอก การฝึกเพ่งลูกแก้ว และอย่างน้อยควรทำวันละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้


- ท่าที่สบายที่สุด จะนั่งขัดสมาธิหรือจะนอนหงายวางแขนไว้ข้างตัวก็ได้ ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกสบายตัวที่สุด แล้วก็เลือกสถานที่ที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายๆไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป อุณหภูมิในห้องสบาย ๆ
หลับตาลงจะได้ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จิตจะได้สงบง่ายขึ้น แล้วเริ่มด้วยการกำหนดลมหายใจโดยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ให้ท้องพอง หายใจออกช้า ๆให้ท้องแฟบ สัก 3 ครั้ง ให้สังเกตลมที่ผ่านเข้าออกทางจมูกว่ากระทบถูกอะไรบ้าง
จากนั้นให้หายใจให้สบาย กำหนดจิตของตนไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง ให้รับรู้เฉย ๆ ถ้าจิตมันจะวอกแวกนึกนั่นนึกนี่ แว่บไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ นึกห่วงงานที่นั่นที่นี่บ้างก็ดึงสมาธิกลับมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ อาจทำยากมาก เหมือนเราหัดเดินตั้งไข่ครั้งแรก ล้มบ้าง ลุกบ้างแต่ถ้าพยายามเข้าในที่สุดเราก็จะเดินได้การทำสมาธิก็เช่นกัน ถ้าเราพยายามขยันดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ ในที่สุดจิตก็จะเชื่อง และเริ่มนิ่ง เมื่อเข้าถึงสมาธิก็จะได้ความรู้สึกปีติรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมา ก่อน เพราะ ฮอร์โมนEndorphins หลั่งออกมา และ ฮอร์โมนความเครียด Adrenaline ที่ต่อมหมวกไตก็จะหยุดหลั่งออกมา และเมื่อเข้าสมาธิได้แล้วก็ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 15 นาที
- เทคนิคการฝึกหายใจ
โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน
เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่
- การฝึกคลายกล้ามเนื้อ
จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลง เพราะในขณะที่ฝึก จิตใจ ของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อ ความคิดฟุ้งซ่าน และความวิตกกังวลก็ลดลง ช่วยให้จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น
วิธีการฝึก
เลือกนั่งในท่าที่สบาย เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งใจจดจ่ออยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 10 กลุ่ม โดยการปฏิบัติดังนี้คือ
1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย
5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
ข้อแนะนำ
ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที
ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อนหรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อ เฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมาก สำหรับตัวคุณเอง

- ฝึกสมาธิประจำ แก้ได้หลายโรค
หากฝึกสมาธิเป็นประจำ จิตใจก็เบิกบาน สมองแจ่มใส จิตใจเข้มแข็ง อารมณ์เย็น พร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากระทบ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีสมาธิที่เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการวิจัยและค้นพบข้อดีของการทำสมาธิเช่น
·         ช่วยปรับสภาวะสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อัตราการหายใจและชีพจรช้าลง
·         ทำให้คลื่นสมองสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ระดับฮอร์โมนที่ถูกระตุ้นจากความเครียดลดลง
·         แก้ปัญหานอนไม่หลับได้ถึงร้อยละ 75 และ
·         ช่วยให้ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ใช้ยาแก้ปวดลดลงจาก เดิมร้อยละ 34
·         ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์ มีอาการทุกข์ทรมานลดน้อยลงกว่าการรักษาเฉพาะทางทางยา
·         ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ความถี่หรือความรุนแรงของอาการจะลดลงร้อยละ 32
และยังพบอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยโรค หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาจะหายเร็ว กว่า ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จะมีอัตราการตายมากกว่าผู้นับถือศาสนาถึง 3 เท่า
ในสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบผลตรงกันว่า ชาวพุทธที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ดี และ ความคิดด้านบวกจะทำงานกระฉับกระเฉงกว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียด และทำให้สมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางความทรงจำด้านร้ายสงบลง และการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อารมณ์แปรปรวน ตกใจ เกรี้ยวกราด หรือหวาดกลัวลดลงด้วย
แพทย์โรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คนไข้โรคหัวใจฝึกสมาธิระหว่างบำบัดด้วยยาไปด้วยและได้ผลเป็นที่น่าพอ ใจ เพราะทำให้ความดันโลหิตและความเครียดลดลงอย่างมาก
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี ไม่แก่ง่าย ตายเร็ว ก็ต้องเริ่มการฝึกทำสมาธิและต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย อย่าได้ผัดผ่อนเด็ดขาด

ที่มา Click


หมู่บ้านส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 1-7 กระทั่งกลายเป็นสถานรกร้างในช่วงศตวรรษที่ 8-10 เนื่องจากถูกชาวอาหรับเข้ายึดครอง จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการค้าและ “เศรษฐกิจ” นั้นเอง คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรเริ่มอพยพย้ายถิ่น ทิ้งไว้เพียง  เมืองแห่งทะเลทราย หรือ เมืองแห่งความตาย ในที่สุด





















สถาปัตยกรรม เมืองแห่งความตาย กลายเป็นโบราณสถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ เพื่อจารึกไว้ซึ่งประวัติศาสตร์แห่งซีเรีย

ที่มา Click
ดูจากซากปรังหักพังแล้ว คิดว่าตอนที่เมืองถูกสร้างเสร็จใหม่ๆ คงใหญ่โต งดงาม อลังการงานสร้างแน่นอนเลยนะคะ แต่ปัจจุบัน คงเหลือทิ้งไว้ให้เห็นแต่เพียงซากปรังหักพังดั่งในรูปเท่านั้น

ทำให้ได้แต่ปลงค่ะว่า ใดๆ ในโลกนี้มีเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วก็ดับไป เอวัง ..

ตามตำนานของกรีก ไมดาส เป็นชื่อของกษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ปกครองนครไฟร์เกีย พระองค์เป็นราชโอรสของ พระเจ้ากอดิอุส โดยไมดาสทรงได้รับราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ซึ่งในเวลานั้นนครไฟร์เกียเป็นหนึ่งในนครที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองที่สุดนครหนึ่งด้วยพระปรีชาสามารถในการบริหารปกครองของพระเจ้ากอดิอุส


กษัตริย์ไมดาส

วันหนี่ง พระเจ้าไมดาสเสด็จประพาสยังริมฝั่งแม่น้ำซานการิอัสและได้พบชายชราขี้เมาผู้หนึ่งถูกมัดนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พระองค์จึงเข้าไปช่วยแก้มัดให้ชายผู้นั้น ทว่าชายคนนั้นคือ ไซเลนนัส พระอาจารย์ของเทพไดโนนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลอง โดยในวันนั้น ไซเลนนัสที่กำลังเมาไวน์ได้ที่ เกิดพลัดกับขบวนของเทพไดโอนีซุสและได้ไปพบกับพวกชาวนาเข้า พวกชาวนามีความเชื่อว่า หากเจอไซเลนนัสตอนกำลังเมาให้จับตัวเขามัดไว้ โดยในขณะที่ถูกมัดนั้น จะสามารถถามเรื่องในอนาคตจากไซเลนนัสได้
หลังจากกษัตริย์ไมดาสทรงช่วยไซเลนนัสเอาไว้ เทพไดโนนีซุสก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงโปรดปรานไมดาสเป็นอันมากที่ช่วยพระอาจารย์ของพระองค์ จึงทรงออกปากว่าจะให้พรไมดาสหนึ่งข้อตามแต่จะขอ ซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น กษัตริย์ไมดาสก็ลืมองค์ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ จึงทรงขอพรที่แปลกประหลาดที่สุด โดยทรงขอแก่เทพไดโอนีซุสว่า ขอให้ทุกสิ่งที่ตนสัมผัสนั้นกลายเป็นทองคำทั้งหมด


เทพเจ้าไดโอนีซุส

แม้จะทรงแปลกพระทัย แต่ไดโอนีซุสก็ประทานพรให้ตามที่อีกฝ่ายขอ จากนั้นพระองค์พร้อมกับพระอาจารย์ก็เสด็จากไป ส่วนไมดาสนั้นเมื่อได้พรแล้วก็ทรงทดลองด้วยการแตะของต่างๆในวังจนกลายเป็นทองคำไปหมด ยังความปรีดาให้แก่พระองค์เป็นอันมาก
ทว่า เมื่อถึงเวลาที่จะเสวย ไมดาสก็ทรงพบว่า ทั้งอาหารและน้ำที่พระองค์สัมผัสกลายเป็นทองคำจนหมดสิ้น ทำให้พระองค์ไม่สามารถเสวยสิ่งใดได้เลย และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ พระองค์เผลอไปโอบกอดพระธิดาองค์น้อยที่ทรงรักมากเข้า ทำให้พระธิดากลายเป็นรูปปั้นทองคำไป


กษัตริย์ไมดาสทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก พระองค์ได้สวดอ้อนวอนขอให้เทพไดโอนีซุสทรงเมตตาลบล้างพรที่ทรงประทานให้ ในที่สุด เทพเจ้าไดโอนีซุสทรงเกิดความสงสารจึงทรงให้บอกให้ไมดาสไปชำระล้างพรที่แม่น้ำแพคโตลัส กษัริย์ไมดาสทรงทำตามที่เทพเจ้าตรัสบอก และพรวิเศษก็หายไป พร้อมกับทุกสิ่งกลับคืนดังเดิม อย่างไรก็ตาม พรของไดโอนีซุสที่ถูกชำระล้าง ก็ได้ทำให้แม่น้ำทั้งสายกลายเป็นผงทองคำ
    …และบทเรียนที่ ราชาไมดาสได้รับในครั้งนี้ ก็คือ ความมั่งคั่งนั้น ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป……

ที่มา Click



เรื่องนี้เป็นเรื่องสอนใจที่ดีเรื่องหนึ่ง พออ่านจบ ก็รีบนำมาเสนอเลยค่ะ


"เจ้าจันท์ผมหอมฯ" เป็นนวนิยายเกี่ยวกับการค้นหาสัจจะ หรือความจริงอันเป็นแก่นสารของชีวิตซึ่งจะเกิดขึ้นกับใครที่ใดก็ได้ ในช่วงเวลาที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากการเขียนโดยกวีแก้ว แห่งเมืองล้านนา "มาลา คำจันทร์"


คุณสมบัติพิเศษของนวนิยายเรื่องนี้ คืออลังการของภาษาซึ่งมีกลิ่นอายของล้านนา และอุดมด้วยจินตภาพอันวิจิตร และ ด้วยคุณสมบัติพิเศษดังกล่าวข้างต้น "เจ้าจันท์ผมหอมฯ" จึงเป็นนวนิยายที่มีความดีเด่น และได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.๒๕๓๔



เรื่องเจ้าจันทร์ผมหอมเป็นเรื่องของเจ้าหญิงเมืองเหนือองค์หนึ่ง

ผู้ผูกพันธ์รักใคร่กับเจ้าหล้าอินทะ แต่เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ของเจ้าจันทร์

ได้ตกลงยกเจ้าจันทร์ให้กับพ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง

ตอนเป็นเด็ก เจ้าจันทร์เกิดล้มป่วยเจ้าพ่อเจ้าแม่จึงได้บนกับพระธาตุไว้

และจะไว้ผมยาวถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา

เจ้าจันทร์เลี้ยงผมมาเป็นระยะเวลา 5 ปี

ซึ่งผมของนางมีกลิ่นหอมเป็นที่ตรึ่งใจแก่ผู้ที่ได้เข้าใกล้ชิด

เมื่อถึงกำหนดที่เจ้าจันทร์ต้องเดินทางไปแก้บนที่พระธาตุอินทร์แขวน

และจำต้องเดินทางไปสักการะพระธาตุ

โดยอาศัยเดินทางไปกับพ่อเลี้ยง ไม่เช่นนั้น ก็จะเดินทางไม่ได้

เพราะต้องใช้ทั้งขบวนช้างม้า เดินทางกันเป็นเวลานาน

ซึ่งต้องอาศัยกำลังทรัพย์จากพ่อเลี้ยง และในระหว่างการเดินทาง

พ่อเลี้ยงนั้นก็ดูแลเจ้าจันทร์เป็นอย่างดี

หวังจะเอาชนะใจเจ้าจันทร์ แต่เจ้าจันทร์ก็ไม่สามารถทำใจให้รัก พ่อเลี้ยงได้

เพราะเธอรักมั่นอยู่กับอีกชายหนึ่งแล้ว

ในเรื่องจะมีบทค่าวพรรณาความในใจ

ความทุกข์ยากลำบากจากการเดินทางการพลัดพรากจากคนที่รัก

ระหว่างความรักกับหน้าที่ที่จะต้องประคับประคองความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง

ซึ่งต้องอาศัยพ่อเลี้ยงในที่สุดเจ้าจันทร์ได้ตั้งจิตบนพระธาตุอีกครั้งหนึ่งว่า

หากผมหอมนี้ปูลอดพระธาตุได้ นางจะกลับไปหาชายคนรัก

หากปูลอดพระธาตุไม่ได้ นางจะแต่งกับพ่อเลี้ยง

สุดท้ายเมื่อผมลอดไม่ได้เจ้าจันทร์จึงได้ปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุนั้น

และตัดสินใจแต่งงานกับชายที่ไม่ได้หมายปอง




เรื่องราวของเจ้าจันทร์ผมหอม เป็นคติสอนใจได้ดี ในเรื่องของสัจจะธรรมแห่งชีวิต ความใฝ่ฝัน กับ ความเป็นจริง เมื่อเจ้าจันทร์ได้อธิษฐานเพื่อหวังที่จะได้กลับไปแต่งงานกับ เจ้าหล้าอินทะ ตามความใฝ่ฝัน แต่เมิ่อคำอธิษฐานไม่สำฤทธิ์ผล นางจึงต้องยอมอยู่กับความเป็นจริง นั่นคือ แต่งงานกับพ่อเลี้ยงที่นางไม่ได้รักแต่รักนาง....
เปรียบเสมือนโลกไซเบอร์ และ โลกแห่งความเป็นจริง เมื่ออยู่ในโลกไซเบอร์ อาจจะเป็นโลกแห่งความเพ้อฝันของใครหลาย ๆ คน วาดภาพในโลกไซเบอร์ไว้สวยสดงดงาม หากแต่ในโลกแห่งความเป็นจริง อาจจะไม่สวยสดงดงามดังที่ได้วาดไว้  ดังนั้น....ก็ขอให้ทุกท่าน มองเห็นสัจจะธรรมจากเรื่องราวของเจ้าจันทร์ไว้เป็นคติสอนใจกัน
อันนี้แถมค่ะ เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราว แต่เป็นภาษาทางเหนือค่ะ

ที่มา Click